ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผึ้ง ซึ่งถือเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อการผสมเกสรพืช ถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อม และการดำรงชีวิตของพวกมันเริ่มถูกท้าทายมากขึ้น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิที่สูงขึ้น ความชื้น ที่ไม่แน่นอน การสูญเสียพื้นที่ป่า และการขยายตัวของเมือง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผึ้งต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอด
หนึ่งในวิธีการปรับตัวของผึ้งคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการหากิน ผึ้งเริ่มปรับตัวโดยการ เปลี่ยนเวลาการออกหากิน ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิและแสงแดด ตัวอย่างเช่น ในบางพื้นที่ ผึ้งอาจออกหากินในช่วงเช้าเร็วขึ้นหรือในตอนเย็นแทน เพื่อลดการเผชิญกับความร้อนจัดในช่วงกลางวัน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงฤดูกาลที่ไม่ปกติทำให้ผึ้งต้องปรับ ระยะเวลาการผสมพันธุ์ และวงจรการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับการเบ่งบานของดอกไม้
อีกปัจจัยที่สำคัญคือการใช้ สารเคมีในการเกษตร สารกำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าแมลงมักทำให้ผึ้งเจ็บป่วยหรือตาย ซึ่งส่งผลให้ผึ้งบางชนิดต้องพัฒนา ความต้านทานต่อสารเคมี หรือย้ายรังไปยังพื้นที่ที่มีความปลอดภัยมากกว่า อย่างไรก็ตาม สารเคมีเหล่านี้ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและการผลิตน้ำผึ้ง
นอกจากนั้น ผึ้งยังต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหาร เนื่องจากการทำลายพื้นที่ป่าไม้และแหล่งอาหารทางธรรมชาติ สิ่งนี้ทำให้ผึ้งหลายชนิดต้อง ปรับพฤติกรรมการกิน โดยเปลี่ยนไปหาดอกไม้ที่ปลูกในพื้นที่เมืองหรือสวนดอกไม้ของมนุษย์แทน ส่งผลให้พวกมันสามารถยังคงดำรงอยู่ได้ แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของผึ้งไม่สามารถทำได้ตลอดเวลาและทุกสถานการณ์ ความสูญเสียประชากรผึ้งจำนวนมากส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศและการเกษตร เพราะผึ้งมีบทบาทสำคัญในการช่วย ผสมเกสร พืชผล ทำให้การผลิตอาหารลดลงอย่างน่าเป็นห่วง
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงแค่ความท้าทายที่ผึ้งต้องเผชิญเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศและมนุษย์ ความพยายามในการปกป้องผึ้ง เช่น การลดการใช้สารเคมีในเกษตร การสร้างพื้นที่ป่าไม้ หรือการส่งเสริม การเกษตรเชิงธรรมชาติ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผึ้งสามารถปรับตัวและดำรงอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงได้